รูปแบบของการใช้งานกำแพงกันดิน 2 แบบที่พบเห็นบ่อยที่สุด

ในส่วนของรูปแบบการใช้งาน สิ่งปลูกสร้างบางประเภท ที่ในยุคหลังๆ มีความจำเป็นกับงานก่อสร้าง และเหมือนกับว่าจะเป็นสิ่งใหม่ ที่ต้องมีเหมือนกับเป็นส่วนเสริมของงานก่อสร้างนั้น ส่วนใหญ่ในยุคนี้จะพบเห็น การใช้งานกำแพงกันดิน เป็นหนึ่งในรูปแบบของการใช้งาน

ที่เป็นที่นิยมเป็นอย่างมาก เพราะจากเงื่อนไข ของการที่ต้องป้องกันดินสไลด์ ตามสภาพความจำเป็นของภูมิประเทศในงานก่อสร้างด้วยนั่นเอง ดังนั้นในเรื่องราวของบทความวันนี้ เราจึงนำเอารูปแบบของการนำเอากำแพงกันดิน ไปใช้งาน ที่จัดอันดับแล้วว่า เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องใช้งานมากที่สุด มาฝากท่านผู้อ่านดังต่อไปนี้

1.ใช้กำแพงกันดินกับการกั้นดินสไลด์ในพื้นที่ดินถม

เป็นหนึ่งในวิธีการใช้งาน ที่พักหลังมีความนิยมเป็นอย่างมาก เพราะว่ากันที่ปัจจุบัน การสร้างสิ่งปลูกสร้างแทบจะทุกรูปแบบ ตั้งแต่บ้าน อาคาร ตึกสูง อาคารเอนกประสงค์ต่างๆ ล้วนแล้วแต่มีความจำเป็น ที่ต้องยกระดับดินให้สูงขึ้น ดังนั้นจึงเป็นส่วนที่เกิดความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่ต้องคำนึงถึงการติดตั้งกำแพงกันดิน เพื่อป้องกันดินในระดับที่สูงเกินห้าสิบเซ็นติเมตร เกิดการสไลด์ตัวออกตามทิศทางของแรงโน้มถ่วงของโลก ซึ่งที่พบเห็นแพร่หลาย สำหรับประเภทกำแพงกันดิน ที่ใช้ในพื้นที่ก่อสร้างดังกล่าว ยุคนี้จะเป็นกำแพงกันดินสำเร็จรูป ที่มีส่วนประกอบ คล้ายกับกำแพงบ้านสำเร็จรูป จะมีข้อแตกต่างเพียงคานคอนกรีตทึบ ที่ใช้สำหรับเป็นส่วนกั้นดินสไลด์ ที่จำเป็นต้องมีความแข็งแรง ทนทานที่มากกว่ากำแพงบ้าน เพราะต้องรองรับแรงอัดจากมวลดินโดยตรงนั่นเอง

2.ใช้กำแพงกันดินแบบสมอยึด กับพื้นที่ที่เสี่ยงดินสไลด์อย่างจากธรรมชาติ

นอกเหนือจากดินถม ที่เป็นส่วนของพื้นที่ ที่มีความจำเป็นต้องสร้างขึ้นให้สูง เพื่อทดแทนในส่วนของพื้นที่ก่อสร้าง ที่มีระดับดินเดิมเป็นข้อจำกัด ก็ต้องเลือกใช้กำพงกันดินตามประเภทแรก เป็นเงื่อนไขที่ถือว่าหลีกเลี่ยงได้ยาก แต่ในขณะเดียวกัน การก่อสร้างตามพื้นที่ธรรมชาติ เช่น ริมคลอง ริมแม่น้ำ ตามพื้นที่ขอบตลิ่ง หรือเขื่อนก็ตาม ก็ยังถือว่าเป็นสิ่งปลูกสร้าง ที่จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้งานกำแพงกันดิน โดยประเภทที่นิยมใช้ ที่พบเห็นแพร่หลาย ส่วนใหญ่จะเป็นกำแพงกันดินแบบสมอยึด ซึ่งมีการเพิ่มความสามารถ ในการต้านทานแรงดันของมวลดิน ด้วยสมอที่เป็นส่วนเสริมเพิ่มเติม จากส่วนของแผ่นคอนกรีตกันดิน จึงเป็นหนึ่งในการใช้งานกำแพงกันดิน ที่ถือว่ามีผลกับสิ่งปลูกสร้าง และมีความแพร่หลายพอสมควรเลยทีเดียว

สรุป

ทั้งหมดคือรูปแบบ ของงานก่อสร้างสิ่งปลูกสร้าง ที่มีความแพร่หลาย และมีความเสี่ยงในการที่จะเกิด การสไลด์ของชั้นดินสูงด้วยเช่นกัน เปรียบเหมือนกับรูปแบบ ของงานก่อสร้าง ที่ต้องมีการป้องกันในทุกมิติ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลลัพธ์ ที่ส่งผลเสียต่องานโดยรวม ซึ่งจะมีทั้งความเสี่ยงในส่วนของชีวิต และทรัพย์สินด้วยเช่นกัน ดังนั้นกำแพงกันดินทั้งสองรูปแบบ จะเปรียบเหมือนกับกุญแจสำคัญ ที่จะแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุดด้วยนั่นเอง